มารู้จักวิธีฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ USB ว่าควรทำอย่างไรบ้าง

การฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ USB เป็นการลบข้อมูลทั้งหมดออกจาก USB Drive เพื่อเตรียมพร้อมใช้งานใหม่ได้อีกครั้ง ดังนั้นในบทความนี้จะอธิบายวิธีฟอร์แมตไดรฟ์ใน Windows และ Mac OS 10+ กันค่ะ

การฟอร์แมตคืออะไร?

มันคือกระบวนล้างข้อมูลต่าง ๆ ในอุปกรณ์จัดเก็บของเราในคราวเดียวกันและสามารถกำหนดค่ารูปแบบการจัดเก็บข้อมูลใหม่ วิธีนี้เป็นที่นิยมเวลาที่เราติดตั้งระบบปฏิบัติการ เกม โปรแกรมต่าง ๆ ไว้แล้วอยากลงใหม่ ก็ทำการ ฟอร์แมตออกไปได้เลย

การฟอร์แมตไดรฟ์ USB มีอยู่สองประเภท :

  • Quick format : การฟอร์แมต USB Drive โดยที่ไม่ต้องทำการตรวจสอบและตรวจซ่อมพื้นที่เสียหายบนไดรฟ์ จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ตัวเลือกนี้มักใช้กับแฟลชไดรฟ์ USB เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างในการถ่ายโอนหรือจัดเก็บไฟล์อื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการลบไฟล์ เนื่องจากข้อมูลอาจยังกู้คืนได้ด้วยโปรแกรมกู้คืนข้อมูล
  • Full format : จะสแกนหาเซกเตอร์เสียและเขียนเลขศูนย์ในทุกเซกเตอร์ ซึ่งจะลบข้อมูลทั้งหมดอย่างถาวร วิธีนี้อาจจะใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับความจุของไดรฟ์

ตัวเลือกระบบไฟล์มีอะไรบ้าง

เมื่อทำการฟอร์แมตไดรฟ์ สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจตัวเลือกของการจัดรูปแบบต่าง ๆของระบบไฟล์ ที่มีให้สำหรับการใช้งานที่เหมาะสมที่สุด ระบบไฟล์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแฟลชไดรฟ์ USB คือ :

  • FAT32 เป็นตัวเลือกทั่วไปของระบบไฟล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Mac และ Windows นิยมใช้ใน แผ่นดิสก์ (Non-Partitioned Disk) เช่น USB Drive หรือ SD Card โดยมีข้อดีคือรองรับขนาดไฟล์ที่ใหญ่ถึง 4GB  สามารถเข้าถึงได้ทั้งในระบบปฏิบัติการ Windows, Mac OS และ Linux ได้โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมเสริมเพิ่มเติม แต่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยเมื่อถอด USB Drive ไม่ถูกต้อง ดังนั้นควรจะเช็คและ eject USB Drive ก่อนถอดออกจากเครื่องเสมอ
  • exFAT หรือ Extended File Allocation Table เป็นระบบไฟล์ที่พัฒนาโดย Microsoft เหมาะสำหรับแฟลชไดรฟ์ USB Drive หรือ SD Card ที่มีขนาดใหญ่กว่า 32 GB และเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ Windows และ Mac ทั้งนี้ exFAT ยังมีความปลอดภัยของข้อมูลเมื่อมีการถอด USB Drive แบบไม่ปลอดภัย ดังนั้นถ้าต้องการใช้ USB Drive หรือ SD Card ที่มีขนาดใหญ่กว่า 32 GB ควรใช้ exFAT แทน FAT32 สำหรับการจัดการข้อมูลบนอุปกรณ์ภายนอก
  • NTFS เป็นรูปแบบระบบไฟล์ที่ Windows ชอบใช้เป็นค่าเริ่มต้นสำหรับไดรฟ์ภายในที่ใช้ระบบปฏิบัติการหรือใช้เป็นไดรฟ์เก็บข้อมูลสำรอง มีขนาดไฟล์สูงสุดที่ใหญ่กว่ามาก แต่เป็นแบบอ่านอย่างเดียวบน Mac OS X (เว้นแต่คุณจะติดตั้งยูทิลิตี้อ่าน/เขียน NTFS ของบุคคลที่สาม
  • Mac OS Extended เป็นโซลูชันแบบเนทีฟสำหรับผู้ใช้ Mac และมีขนาดไฟล์สูงสุดเท่ากับขนาดไฟล์ใดๆ ใช้ตัวเลือกนี้เฉพาะเมื่อไดรฟ์จะใช้ใน Mac OS เท่านั้น Windows จะตรวจไม่พบระบบไฟล์นี้หากไม่มียูทิลิตี้ของบริษัทอื่น

มีเครื่องมือสำหรับใช้งาน NTFS บน Mac (Fuse) หรือ HFS บน PC (HFSExplorer) อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ใช้ทั้ง Windows และ Mac OS เป็นประจำคือแบ่งพาร์ติชันฮาร์ดไดรฟ์และฟอร์แมตไดรฟ์บางส่วนสำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการ

วิธีการฟอร์แมตไดรฟ์ใน Windows ทำอย่างไร

  1. ใส่ไดรฟ์ USB เข้ากับพอร์ต USB
  2. เปิด File Explorer
  3. คลิกที่พีซีเครื่องนี้จากบานหน้าต่างด้านซ้าย
  4. ในส่วน “อุปกรณ์และไดรฟ์” ให้คลิกขวาที่แฟลชไดรฟ์แล้วเลือกตัวเลือกรูปแบบ
  5. ใช้เมนูแบบเลื่อนลง “ระบบไฟล์” และเลือกตัวเลือกที่ต้องการ
  6. ในเมนูแบบเลื่อนลง “ขนาดหน่วยการจัดสรร” ให้ใช้การเลือกเริ่มต้น
  7. ในช่อง “Volume label” ให้ยืนยันชื่อไดรฟ์ที่จะปรากฏใน File Explorer ตัวอย่างเช่น KingstonUSB
  8. ในส่วน “ตัวเลือกรูปแบบ” ให้เลือกตัวเลือกรูปแบบด่วนหรือไม่ขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งาน
  9. คลิกปุ่มเริ่ม
  10. คลิกปุ่มใช่
  11. เมื่อฟอร์แมตเสร็จแล้ว แฟลชไดรฟ์ USB จะถูกตั้งค่าให้จัดเก็บเอกสาร รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์อื่นๆ ในไดรฟ์แบบถอดได้

การฟอร์แมตไดรฟ์บน Mac OS 10+

  1.  ใส่ไดรฟ์ USB เข้ากับพอร์ต USB ของคุณ
  2. เรียกใช้ “ยูทิลิตี้ดิสก์” (จากแอพพลิเคชั่น > ยูทิลิตี้ > ยูทิลิตี้ดิสก์)
  3. เลือกไดรฟ์ USB จากรายการทางด้านซ้าย
  4. เลือก “ลบ” ที่ด้านบน
  5. พิมพ์ “ชื่อ” สำหรับไดรฟ์ จากนั้นเลือก “รูปแบบ” (ระบบไฟล์)
  6. เลือก “ลบ”
  7. เมื่อเสร็จแล้ว ให้เลือก “เสร็จสิ้น”
  8. เมื่อฟอร์แมตเสร็จแล้ว แฟลชไดรฟ์ USB จะถูกตั้งค่าให้จัดเก็บเอกสาร รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์อื่นๆ ในไดรฟ์แบบถอดได้

บทสรุป

การฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ USB อาจเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการลบข้อมูลออกจากแฟลชไดรฟ์อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หรือหากคุณต้องการใช้แฟลชไดรฟ์บนระบบปฏิบัติการอื่น การใช้เวลาในการฟอร์แมตไดรฟ์ USB จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ในที่สุด

ที่มา : https://www.kingston.com